วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เปลี่ยนชื่อ page

ทำไม เปลี่ยน?

ทำไม ทำไม

เพราะถึงตอนนี้ ไม่ได้เขียนโปรแกรมด้วยภาษา ABAP เลย ในทางกลับกัน นั่งเขียน C# JAVA เอ่อ เสียเวลานั่งเรียนรึเปล่าเนี่ย  ไหน ๆ ก็ไม่ได้เขียนชีวิต ABAP จึงเหมือนไม่ได้เริ่ม

เปลี่ยนเป็น โปรแกรมเมอร์ โปรแกรมเอ๋อ เต็มขั้นล่ะที่นี้

ลงทุน ยังลงทุนอยู่นะ แต่ที่ต้องไม่ใช้เม่าน้อย เพราะอาจมีคนเข้าใจผิด เราใช้คำคำว่านักลงทุนตัวน้อย ๆ จิดริด เป็นมด ดีก่านะ ที่ต้องเปรียบตัวเองเป็นมดเพราะว่า มดส้รางรังด้วยการขนอุปกรณ์ที่ละชิ้น ทีละชิ้น เท่าที่ตัวจะสามารถทำได้ ซึ่งไม่ต่างไปจากเราหรอกนะ เราไม่มีต้นทุนจากครอบครัว มีเพียงการศึกษาที่ติดตัวเรา และความบ้าพลังอยากเรียนรู้ของเราเท่านั้นที่เป็นเครื่องมือ

เมื่อคนคนนึงเริ่มหมดไฟ เราย่อมต้องออกเดินทางค้นหาเชื้อไฟใหม่ ๆ เสมอ ด้วยความที่เหมือนเป็นคนที่ไม่สงสัยใด ๆ หน้านิ่ง ๆ ง่วงนอน เขียนโปรแกรมไปหลับไป แต่ตรงกันข้าม เรามีความอยากรู้อยากเห็นที่สูงมาก อยากเข้าใจ อยากเรียนรู้ ความรู้มันไม่เคยมีที่สิ้นสุด ตราบใดที่มีผู้คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ  อยู่เสมอ

อยากให้ทุกคนที่แม้ไม่มีฝัน แต่ต้องมีไฟที่จะสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างน้อยมันก็ทำให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีคุณค่าในทุก ๆ วัน สู้ ๆ นะคะ //บอกตัวเอง และ บอกทุก ๆ ท่าค่ะ 

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

ถึงวันนี้ วันที่เรียน ABAP มาสักระยะ กับภาวะหุ้นถดถอย

ถึงวันนี้(เมื่อเกือบสิ้นปีที่แล้ว Draft ไว้ลืมกดโพส) วันที่เรียน ABAP มาสักระยะ กับภาวะหุ้นถดถอย

ดูชื่อเรื่องทั้งสองประเด็นไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ แต่เอไหนๆก็หยิบทั้งสองอย่างมาเป็นชื่อบล็อคนี้ล่ะ เอามาโยงกันแหละดีล่ะ :)

      ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา บอกได้คำเดียวว่า หุ้นไทยเป็นไรหว่า ลงบ้างขึ้นบ้าง แต่ช่วงนี้ก็บอกกับตัวเองว่าจะดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไม่อยากซื้อไม่อยากขาย แต่ก็ไม่พลาดที่จะติดตาม ในช่วงนี้จึงตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง พักผ่อน ออกกำลังกายแบบชิว ๆ รอจังหวะโอกาสที่เม่าน้อยอย่างเราจะไม่เสี่ยงมากกลับเข้าสู่สมรภูมิแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง (ในระหว่างนี้ก็ลงทุนเพิ่มในส่วนของกองทุนรวม และซื้อหุ้นที่สนใจมานาน เก็บไว้ด้วยเงินเท่าที่นำไปลงทุนได้)
      เรียนจนจบ ABAP แล้ว แต่เม่าคนนี้ก็ยังไม่ได้ลองฝีมือภาษาใหม่เลย แต่ต้องไปเขียน ASP.NET เหมือนเดิมก่อน เพราะว่าติดกับ Project ที่ท้าทายอยู่พอควร เฝ้าหวังว่าจะได้ฝึก ABAP บ้างนะคะ เรียนไปนานก็กลัวลืม
      เล่าเรื่องเบา ๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ผ่านมา เม่าทำอะไรบ้างนะ
  • แชท เป็นกิจกรรมที่ทำทุกวัน
  • ดูทีวี ติดซีรีส์ law and order และอีกหลายเรื่อง ของช่อง Fox Thai
  • ปั่นจักรยาน เบาๆ
  • โยคะ เบา ๆ
  • ทานเค้ก ที่ขาดไม่ได้ทุกอาทิตย์
     สรุปได้ก็คือ ด้วยความเบา ๆ ของน้องเม่า น้ำหนักขึ้นจ้า

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

หุ้นของเม่าตัวเล็กจิ๊ดริด กับฤดูแดงเดือด

เนื่องจากในช่วงนี้ (สิ้นปี 2013 ต่อยาวถึงต้นปี 2014) เป็นช่วงที่เกิดความสับสนวุ่นวายของการเมืองไทย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นจากต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยและเป็นช่วงที่มีการเทขายหุ้นจากกองทุน LTF ที่ครบอายุ ทำให้หุ้นตกอย่างต่อเนื่องจนตอนนี้ จะต่ำกว่า 1200 จุดแล้ว  ถ้าจะถามว่าเม่าตัวนี้จัดการอะไรต่อหุ้นหรือกองทุนที่ตัวถืออยู่  บอกได้คำเดียวเม่าเลือกที่จะทดสอบกับความอดทนของตัวเอง เครียดไหม ก็เครียดนะคะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเลยจุด Cut loss มานานแล้ว สู้ ๆ ค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้เม่ามือใหม่เช่นกัน

ปัจจุบันเรียน ABAP จบแล้ว

ใช้เวลาเรียน ABAP ประมาณ สี่เดือน เรียนอาทิตย์ล่ะ สองวัน ผลที่ได้คือ พออ่าน Code เก่า ๆ ออก แก้ไขได้บ้าง แต่สิ่งที่ได้รับมอบหมายปัจจุบันคืองานที่เป็น improvement ส่วนใหญ่ ซึ่งงาน Create report ด้วย ABAP ใน SAP ไม่เหมาะสมเท่ากับ Website จึงทำให้ในปัจจุบันต้องมานั่งเขียน ASP.net เหมือนเดิม

แต่สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือทบทวน ABAP และ เพิ่มพูนความรู้ในส่วนของ Functional FI ให้ได้ นี่คือเป้าหมายต่อไปของเรา

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คุณค่า(ทางจิตใจ) VS ราคา By ดร.นิเวศน์ นักลงทุนหุ้นคุณค่า [Copy from Settrade.Com]

วันนี้แอบเข้าไปเวบ Settrade.com เจอบทความดี ๆ จึงนำมาฝากกัน ลองอ่านดูนะคะ แล้วคุณลองมองตัวเองว่าคุณเป็นคนที่ดูหุ้นที่เน้นทางจิตใจหรือไม่

คุณค่า(ทางจิตใจ) VS ราคา

คุณค่า(ทางจิตใจ) VS ราคา By ดร.นิเวศน์ นักลงทุนหุ้นคุณค่า [Copy from Settrade.Com]


ในแวดวงของนักลงทุนแบบแบบ Value Investment นั้น  คำสองคำที่เราพูดถึงอยู่เสมอก็คือ Value กับ Price หรือ  คุณค่า  กับ ราคา   “คุณค่า”  นั้นก็คือสิ่งที่เราจะได้จากการถือทรัพย์สินนั้น  พูดง่าย ๆ  เราจะได้อะไรจากทรัพย์สินนั้น  ซึ่งในเรื่องของหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นก็คือ  ปันผลที่เราจะได้ตลอดอายุของการลงทุนหรือตลอดไป    ส่วน “ราคา” ก็คือสิ่งที่เราจะต้องจ่ายในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าว  หน้าที่หลักของเราก็คือ  ประเมินดูว่าคุณค่าหรือมูลค่าของหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไรโดยหาจาก  “มูลค่าปัจจุบัน” ของปันผลที่จะได้รับในอนาคตทั้งหมด  แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับราคา  หากมูลค่าสูงกว่าราคาเราก็ซื้อ  แต่ถ้ามูลค่าต่ำกว่าราคา  เราก็ขาย เพราะเราเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว  ราคาจะวิ่งเข้าไปหามูลค่าที่แท้จริงเสมอ  ในเรื่องของการลงทุนในหุ้นนั้น  มูลค่าหรือคุณค่าของหุ้นมีเพียงหรือควรจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือปันผลที่จะได้รับเป็นเงินสด  คุณค่าอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงินและมักจะไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นตัวเงิน  เช่น  ชื่อเสียงหรือความรู้สึกทางจิตใจนั้น   เราจะไม่นำมาคิด

         แต่ในโลกที่กว้างออกไป  “คุณค่า” นั้น  ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของเงิน  คุณค่าทางด้าน “จิตใจ” ก็มีอยู่มากพอที่จะทำให้คนยอมจ่าย  “ราคา”  เพื่อที่จะได้มันมา  หรือถ้าจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  คนแต่ละคนจะประเมินดู  “คุณค่าทางด้านจิตใจ” ที่เขาจะได้รับทั้งหมด  แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ  “ราคาหรือเม็ดเงิน” ที่เขาจะต้องจ่าย  ถ้าคุณค่านั้นสูงกว่า  เขาก็จะ  “ซื้อ”  แต่ถ้าไม่  เขาก็อาจจะขายถ้าสามารถขายได้   ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณค่าทางจิตใจนั้นแตกต่างจากคุณค่าที่เป็นเม็ดเงินก็คือ  คุณค่าทางจิตใจนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน  ของสิ่งเดียวกันสำหรับคนหนึ่งอาจจะมีคุณค่ามาก  แต่สำหรับอีกคนหนึ่งมันอาจจะไม่มีค่าอะไรเลย ลองมาดูกันว่าใน “ตลาด” ที่ขาย  “คุณค่าทางจิตใจ” ของประเทศไทยเรานั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

          ในเมืองไทยที่สังคมยังค่อนข้างติดยึดกับระบบ  “ศักดินา” ที่แบ่งคนเป็น  “ชนชั้น” ตามฐานันดรต่าง ๆ  นั้น  ทำให้ยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งเป็นสิ่งที่คนต่างก็แสวงหา  คนมักจะยกย่องเชิดชูคนที่มีฐานะและตำแหน่งที่เป็นทางการสูงโดยที่ไม่ใคร่สนใจว่าคน ๆ  นั้นจะมีความรู้ความสามารถหรือมีคุณธรรมจริง ๆ หรือไม่  ดังนั้น  คนที่มีปัญญา  มีความรู้ความสามารถ หรือเพียงแต่มีเงินจึงต้องการ  “หัวโขน” มาประดับด้วย  หัวโขนหรือตำแหน่งที่เป็น  “ทางการ” จึงเป็นสิ่งที่มีค่า  เป็น  Value  สำหรับคนหลาย ๆ  คน  และดังนั้น  พวกเขาจึงยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเป็น “ราคา”  ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับ “หัวโขน”  แต่ละแบบ   และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่องการ “ขายปริญญา”ของ  “มหาวิทยาลัย” ที่ไม่ได้มีมาตรฐาน  หรือไม่ก็เป็นปริญญากิตติมศักดิ์ที่มอบให้แต่ผู้รับต้อง  “จ่ายเงิน”   นอกจากนั้น  ในอดีตเราก็เคยมีกรณี  “เครื่องราช”  ที่คนต้องจ่ายเงินให้กับคนที่จัดการทำเรื่องหลอกลวงว่ามีการบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อเสนอขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับคนที่ต้องการได้เครื่องประดับนี้โดยที่ตนไม่สมควรได้

          อาหารเสริมเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก  ผู้ผลิตมีตั้งแต่บริษัทระดับโลกไปยันกิจการครอบครัวขนาดเล็กที่ไม่มีการค้นคว้าวิจัยอะไรเลย  “คุณค่า” ของอาหารเสริมจำนวนมากที่จะมีต่อร่างกายนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่มาก  หมอหรือนักวิชาการจำนวนมากที่ผมรู้จักหรือได้อ่านบทความนั้นบอกว่าอาหารเสริมส่วนใหญ่นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความรู้สึกทางใจที่ว่ามันช่วยให้สุขภาพดีขึ้น  อย่างไรก็ตามคนจำนวนมากรวมทั้งผมต่างก็ดูว่ามีอาหารเสริมหลายอย่างที่ผมซื้อเพราะมัน  “คุ้มค่า”  คนจำนวนมากคิดว่าคุณค่าของมันเหนือกว่าราคาที่จ่าย  คุณค่าที่ว่านี้ก็คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับเขานั้น  คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายมาก   สำหรับผมเอง  ผมก็ไม่ได้เชื่อมากนักว่าอาหารเสริมที่ผมกินนั้นจะช่วยให้สุขภาพผมดีมากมายอะไร  อย่างไรก็ตาม  เงินที่ผมจ่ายนั้น  ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่ผมมี  ดังนั้น เทียบแล้ว Value เหนือ Price และนี่เป็นเหตุผลที่อาหารเสริมนั้นเป็นธุรกิจที่เติบโตมาก

         การพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตไม่น้อยไปกว่าอาหารเสริม  ไล่ตั้งแต่การดูหมอและการผูกดวงชะตาต่าง ๆ    การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค  ไปจนถึงการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย  นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักวิชาการมีการศึกษาและพบว่าการคาดการณ์ทั้งหลายดังกล่าวนั้นไม่มีความถูกต้องแม่นยำพอที่จะมีประโยชน์ในการตัดสินใจอะไรเลย   แต่คนจำนวนมากก็ยังยอมจ่ายเงินไปเพื่อซื้อการคาดการณ์เหล่านั้น  พวกเขาเห็น  “คุณค่า”  ของมัน  คนบางคนเชื่อว่าการคาดการณ์นั้นมีความถูกต้องและจะทำให้สามารถนำไป “ทำเงิน” และคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย   คนบางคนนั้นได้  “คุณค่าทางจิตใจ”  นั่นก็คือ  มันทำให้เขารู้สึกสบายใจที่มีคนมาช่วย  “รับภาระทางใจ”  ต่อการตัดสินใจของเขา   ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดเขาก็สามารถที่จะอ้างได้ว่าเขาตัดสินใจโดยได้ใช้ข้อมูลและความเห็นของคนที่เชี่ยวชาญในการพยากรณ์อนาคตอย่างรอบคอบแล้ว

          Value หรือคุณค่าของ  “ที่ปรึกษา” ทางธุรกิจนั้น  บ่อยครั้งก็ไม่ได้มีคุณค่าที่ทำให้ธุรกิจดำเนินงานได้ดีขึ้นคุ้มค่ากับค่าที่ปรึกษาที่สูงลิ่ว  เจ้าของหรือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทหรือหน่วยงานเองนั้นส่วนใหญ่น่าจะรู้ดีกว่าที่ปรึกษาที่เป็นคนนอกและเพิ่งเข้ามาศึกษาการทำงานของบริษัทจากการสอบถามพนักงานภายในบริษัทเอง   แต่ประเด็นอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ประเด็นอาจจะอยู่ที่ว่าคุณค่าของที่ปรึกษาในสายตาของคนจ้างซึ่งเป็นผู้บริหารอาจจะอยู่ที่ว่า  ที่ปรึกษานั้นเป็นผู้ที่จะบอกให้แต่ละหน่วยงานในบริษัททำตามเนื่องจากพวกเขาเป็น  “ผู้เชี่ยวชาญคนนอก”  ที่ไม่มี  “การเมืองในบริษัท”  ที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ง่ายกว่า  นอกจากนั้น  หากเกิดมีอะไรผิดพลาด  ผู้บริหารก็ยังมีข้ออ้างว่าที่ปรึกษาได้แนะนำไว้ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายบริหารทั้งหมด

          ตลาดพระเครื่องน่าจะเป็นตลาดที่  “คุณค่าทางด้านจิตใจ”  มีบทบาทสำคัญในทรัพย์สินที่มีตัวตนและเปลี่ยนมือได้  “คุณค่า” ของพระเครื่องแต่ละรุ่นนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยปัจจัยหลาย ๆ  อย่าง  เช่น  ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วคนที่ห้อยพระเครื่องบางองค์รอดปลอดภัยอย่าง “มหัศจรรย์”  คุณค่าในสายตาของคนเล่นพระเครื่องในพระรุ่นนั้นก็อาจจะสูงขึ้นมากและทำให้ “ราคา”  ค่าเช่าพระองค์นั้นวิ่งสูงขึ้นด้วย  แต่ถ้าถามว่าพระเครื่องรุ่นนั้นช่วยให้  “แคล้วคลาด” ได้จริงหรือเปล่า?  คงไม่มีใครตอบได้จริง ๆ   

            Value ของบริษัทจัดการกองทุนรวมหรือผู้บริหารกองทุนรวมนั้น  ในต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกามีการศึกษากันมากและพบว่า  ผู้จัดการกองทุนรวมส่วนใหญ่มีคุณค่าในแง่ของการเลือกหุ้นที่ถูกต้องน้อยไม่คุ้มค่ากับค่าบริหารกองทุนที่คิดค่อนข้างสูงอาจจะ 3-4% ต่อปีของสินทรัพย์สุทธิ  อย่างไรก็ตาม  คนจำนวนมากก็ยังใช้บริการยอมจ่ายค่าบริหารกองทุนในอัตราสูงแทนที่จะซื้อกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ต้องเลือกหุ้นและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำกว่ามาก   เหตุผลนั้นอาจจะเป็นเพราะคนยังเชื่อว่ามีกองทุนรวมที่มีฝีมือหรือคุณค่าสูงในการเลือกหุ้นเพราะพวกเขาเห็นว่ากองทุนนั้นมีผลงานที่ดีเด่นในช่วงเร็ว ๆ  นี้   ความหวังที่จะได้กำไรดี ๆ  และการ “ยกความรับผิดชอบ” ให้กับบริษัทจัดการการลงทุนที่  “มีผลงานโดดเด่น”  ทำให้พวกเขายอมจ่าย“ราคา”  ที่อาจจะสูงกว่าคุณค่าที่แท้จริงของ บลจ. นั้น

           ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น  ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมต้องการจะบอกก็คือ  ในฐานะของ VI เราจะต้องเป็น  “ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Value” หรือคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ  เมื่อเทียบกับ ราคา ที่เราจะจ่าย  และเราต้องเข้าใจด้วยว่า Value นั้นมีหลายรูปแบบและในสายตาของแต่ละคนก็อาจจะไม่เท่ากันถ้ามันไม่ใช่ Value ที่เป็นเม็ดเงิน  ความเข้าใจเหล่านี้จะทำให้เราใช้เงินได้คุ้มค่าขึ้น ทั้งทางด้านของการลงทุนและในด้านการใช้จ่ายอย่างอื่นของชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ในวันที่หุ้นแดงเดือด...

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมันลงเกือบทุกวัน ลงลึกซะด้วย เอ อย่างนี้น้องเม่าน้อยอย่างเราจะทำอย่าไงไรดีล่ะ 
 ก่อนอื่น บอกแบบไม่อายเลยว่า เราขี้ตกใจมาก แต่เราก็โชคดีที่ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด(จริง ๆ แล้วไม่ใช่ตัวเม่าเองซะทั้งหมด เม่าน้อยมีลิงน้อยคอยช่วยเตือนอยู่เสมอๆ) ทำให้นำเงินบางส่วนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ออกมาได้ทัน เพื่อรอจังหวะลงทุนใหม่ ที่ออกมาไม่ทัน ก็มี แต่ก็ไม่มาก(เพราะเม่าน้อยต้นทุนต่ำอยู่ไง) แต่บางส่วนที่อยู่ในกองทุนรวมหุ้น ทั้ง LTF และ RMF ต้องบอกได้คำเดียวว่า เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ดีที่สุด ทำอะไรไม่ได้ครับ รอครบกำหนดอย่างเดียว (เพื่อวัยเกษียณที่สบายๆๆๆ)

ในช่วงที่สัญญาณตลาดเริ่มตกได้สักพัก หลายคนคิดว่าจะเป็นจังหวะเข้าซื้อ รวมถึงเม่าน้อยด้วย จึงเข้าไปติดกับดักจากผู้ทรงภูมิ ซึ่งไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ทำให้ชวนกันไปเป็นเม่าน้อยบนปลายดอยกันเป็นทิวแถว ถ้าว่าเพื่อนเยอะบนสถานะการณ์นี้สนุกไหม บอกได้คำเดียวขำไม่ออก จะ Cutloss ก็หนักเกินไปแล้ว โอ๊ย ต้องถามตัวเองอย่างเดียวว่า เลือกหุ้นจากอะไร จุดประสงค์คืออะไร สำหรับหุ้นพื้นฐานดี เม่าน้อยจะถือต่อ แต่ถ้าเป็นหุ้นเกร็งจนตัวชาอยู่ อาจจะต้องยอมเฉือนเนื้อ เพราะ ไม่มีอะไรการันตีมูลค่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย แต่ก็อย่างว่าแหละ ตลาดเงินอ่ะมันไม่มีอะไรแน่นอน เม่าน้อยทำใจซะ  

และสุดท้ายเม่าน้อยขอเสนอคำว่า .สติมาปัญญาเกิด. น่าจะเหมาะสุดแล้วกับตลาดแบบนี้  

ออ อย่าลืมติดตามข่าวสารอยู่ตลอดนะคะ เพราะ เมื่อไหร่ที่เริ่มเป็นขาขึ้น เราก็จะเริ่มลงทุนใหม่ได้อีกครั้ง สู้ๆ นะเม่าน้อย อย่างน้อยก็ไปดู Money Chanel ก็ได้จ้า

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

..จะลงทุน...เริ่มยังไงดี.....

..จะลงทุน...เริ่มยังไงดี.....

จากตอนที่แล้ว ได้เล่าแล้วว่าเริ่มลงทุนกับกองทุนรวม มาตอนนี้จะเล่าให้ฟังนะคะว่า ทำยังไงถึงตัดสินใจว่าจะลงทุน  และ ก่อนจะลงทุนควรทำอะไรบ้าง

----ก่อนจะลงทุน----
  - ศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ
       + หนังสือ มีทั้งในรูปเล่มและอิเลกทรอนิกส์ นิตยสาร Pocket Book หรือออกแนววิชาการเลยก็มี
           สำหรับเราเองเลือกนิตยสารนี่ล่ะคะ Money and Wealth นี่ล่ะ เนื้อหาหลากหลาย อัพเดทตามสถานการณ์ หลังจากที่มีความสนใจมาก ๆ ก็ลงทุนซื้อพวก Pocket Book มาอ่าน หรือไปขอยืมเขามาอีกที (ชอบมากวิธีนี้ ไม่เสียตังค์) อ่านของผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วเขามีความคิดอย่างไร ทำอย่างไร (แล้วเราจะปรับใช้อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่ต้องคิด)
      +Web site เด็ก IT อย่างเรามีรึจะพลาด ยิ่งตอนนี้มีเยอะและเข้าถึงง่ายกว่าเยอะ ไหนจะเป็น web ของ set.or.th, settrade.com, stock2morrow.com, chaloke.com ... เยอะจริง ๆ นะ 


  - เมื่อศึกษาแล้ว เราพอจะรู้แล้วว่าเราเหมาะกับแบบไหน ทำอย่างไรให้เงินโตกว่าเงินเฟ้อ และที่สำคัญ อย่าลืมถามตัวเองว่า คุณจะลงทุนเพื่อจุดประสงค์อะไรบ้าง ที่ยอดฮิตก็จะมีตั้งแต่ หนีเงินเฟ้อ เพื่อวัยเกษียณ เพื่อซื้อโน่น นี่ นั่น ง่าย ๆ สั้น ๆ อยากรวย อยากเกษียณไวไว ทุกคนมีสิทธิ์คิดทั้งนั้น เราเองก็เป็นอีกคนนึงที่คิดว่าทำอย่างไร เราจะเกษียณเมื่ออายุยังน้อยและมีเงินพอใช้จนอายุ 70 (สมมติอายุที่เราจะอยู่ถึง) 

เอาล่ะ พร้อมแล้วใช่ไหม พร้อมค่ะ พร้อมครับ
   งั้นเริ่ม 

ถ้าจะลงทุนกับกองทุนรวมทำไง
ขั้นตอนต่อไป ก็คือ กองทุนไหนที่เราพึงใจ เข้าไปศึกษาด่วนเลยว่า ประวัติที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ลงทุนในกลุ่มไหน จำนวนเงินขั้นต่ำที่จะซื้อในครั้งแรกและครั้งต่อๆไป เสียค่าจัดการอย่างไร ดูที่ Fund.Fact. Sheet ที่เวบไซค์ของบริษัทจัดการกองทุนนั้น ๆ เลยจ้า หลังจากนั้นเราก็เข้าไปติดต่อในเวลาที่กำหนดในบางกองทุน เดี๋ยวนี้ยิ่งสบาย ซื้อออนไลน์ได้ด้วย แต่เงื่อนไขคือคุณต้องเคยทำธุรกรรมทางด้านนี้มาแล้วอย่างน้อย 1 กองทุน 

แล้วหุ้นล่ะ
 เดี๋ยวนี้ชีวิตมันช่างสะดวกด้วยระบบออนไลน์จริง ๆ นะ แหม ๆ ง่ายแค่ปลายนิ้วอ่ะ สมัครผ่านเวบไซด์ ปริ้นเอกสาร แล้วก็ ส่งทางไปรษณีย์ รอเขาติดต่อกลับ แค่นี้ ไม่นานคุณก็เริ่มเทรดได้แล้ว  (ตอนนี้เรามีบัญชีเทรดของ Kimeng และบัวหลวงอ่ะ แต่ด้วยจำนวนเงินที่จำกัดเราจึงเลือกแบบ Cash balance)  

หรือไปงาน Money Expo คุณจะซื้อกองทุน เปิดบัญชีหุ้น ฟิวเจอร์(ไม่ค่อยชอบอ่ะ เสี่ยงมาก สำหรับเรา) กู้เงิน ซื้อบ้าน ซื้อรถ โอย ๆ เยอะจริง ๆ ชอบ ๆ แถมมีจัดเวทีให้ความรู้ด้วยนะ

พอเริ่มเทรดได้ ต้องรู้จักอะไรบ้าง
แล้วกองทุนมีกี่ประเภท 

เดี๋ยวมาเล่าต่อทีหลังนะคะ